เอเชียแก้เกมภาษีโต้ตอบ ‘ทรัมป์ 2.0’ ไทยไม่รอดสงครามการค้าเดือด

17 กุมภาพันธ์ 2568
เอเชียแก้เกมภาษีโต้ตอบ ‘ทรัมป์ 2.0’ ไทยไม่รอดสงครามการค้าเดือด

สงครามภาษีโต้ตอบสหรัฐฯ กลับมาอีกครั้งภายใต้รัฐบาลทรัมป์ 2.0 หลายประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย กำลังเผชิญกับอัตราภาษีใหม่

สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าได้ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และประกาศ นโยบายภาษีโต้ตอบ (Reciprocal Tariffs) เพื่อกดดันประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ สูงกว่าสหรัฐฯ เอง ภาษีใหม่นี้ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ

แม้ยังไม่มีการระบุอย่างเป็นทางการว่าประเทศใดจะถูกเก็บภาษีใหม่บ้าง แต่แนวโน้มบ่งชี้ว่าสหรัฐฯ กำลังพุ่งเป้าไปที่ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกา ซึ่งรวมถึงจีน เวียดนาม ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย

เวียดนาม จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย?

เวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อมาตรการภาษีรอบใหม่นี้ ด้วยดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ สูงถึง 123.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา อัตราภาษีนำเข้าของเวียดนามสำหรับประเทศคู่ค้าสถานะพิเศษ (MFN) อยู่ที่ 9.4% ขณะที่สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มและยาสูบมีอัตราภาษีเฉลี่ยสูงถึง 45.5%

เวียดนามเคยได้รับผลประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ เมื่อผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่มาตรการภาษีของทรัมป์ 2.0 อาจเปลี่ยนเกมนี้ ฮานอยจึงต้องรีบเจรจากับวอชิงตันเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเพิ่มเติม โดยมีแนวโน้มซื้อสินค้าอเมริกันเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องบินและก๊าซธรรมชาติเหลว

อินเดีย ลดภาษีตัวเอง หวังหลีกเลี่ยงภาษีสหรัฐฯ

อินเดียเป็นอีกประเทศที่อาจถูกเพ่งเล็ง เนื่องจากมีอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สูงสุดถึง 39% ซึ่งสูงกว่าภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่ออินเดียที่เพียง 3%

เพื่อป้องกันผลกระทบจากภาษีใหม่ อินเดียได้ปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการ เช่น มอเตอร์ไซค์ แบตเตอรี่ลิเธียม และแร่ธาตุสำคัญ พร้อมทั้งเพิ่มการนำเข้าสินค้าพลังงานและอาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐฯ ขณะที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เตรียมเจรจากับทรัมป์เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าเสรีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ญี่ปุ่น รักษาสถานะ ‘ประเทศโปรด’ ของทรัมป์

แม้ญี่ปุ่นจะมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ที่ 68.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลโตเกียวจะสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับวอชิงตันได้

ญี่ปุ่นเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเฉลี่ย 3.7% ซึ่งอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่มีแรงกดดันมากนักจากมาตรการภาษีของทรัมป์ 2.0 นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังได้สัญญาว่าจะเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ เป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ และตกลงนำเข้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากอเมริกา

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าญี่ปุ่นจะรอดพ้นจากการถูกขึ้นภาษีครั้งนี้ไปได้

จีน ตอบโต้แบบ ‘นิ่มนวล’ เพื่อเปิดช่องเจรจา

จีนยังคงเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของทรัมป์ โดยสหรัฐฯ เพิ่งประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% ในขณะที่จีนเองตอบโต้โดยขึ้นภาษีถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติเหลว และรถยนต์จากสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของจีนดูเหมือนจะเป็นการปรับอย่างระมัดระวัง คิดเป็นมูลค่าเพียง 13.9 พันล้านดอลลาร์ หรือ 0.5% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของจีน แสดงให้เห็นว่าปักกิ่งยังเปิดช่องทางเจรจากับวอชิงตันอยู่

เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย เดินเกมล็อบบี้ หวังหลีกเลี่ยงภาษี

เกาหลีใต้และออสเตรเลียเป็นสองประเทศที่พยายามล็อบบี้สหรัฐฯ อย่างหนัก เพื่อขอรับการยกเว้นภาษี

เกาหลีใต้ซึ่งมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ 66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ กำลังเดินหน้าต่อรองให้สหรัฐฯ อนุญาตให้นำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมโดยไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม

ขณะที่ออสเตรเลียหวังพึ่งพาความสัมพันธ์พิเศษกับสหรัฐฯ เนื่องจากออสเตรเลียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้า ซึ่งอาจทำให้ทรัมป์พิจารณายกเว้นภาษีให้

ไทยติดร่างแหไปด้วย?

แม้จะยังไม่มีการยืนยันชัดเจน แน่นอนว่ามาตรการภาษีรอบนี้จะกระทบเศรษฐกิจไทย เนื่องจากไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯ จำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม หากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้ากลุ่มนี้ ไทยอาจต้องใช้กลยุทธ์เดียวกับเวียดนามและอินเดีย นั่นคือการเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ หรือหาข้อตกลงทางการค้าใหม่เพื่อรักษาสมดุล

‘สงครามภาษี’ จะจบลงอย่างไร? สงครามภาษีรอบใหม่ของทรัมป์ 2.0 กำลังเปลี่ยนสมดุลเศรษฐกิจโลก หลายประเทศในเอเชียกำลังเร่งหาแนวทาง ‘แก้เกม’ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษี การเพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ หรือการล็อบบี้เพื่อขอยกเว้นภาษี สุดท้ายแล้ว สหรัฐฯ จะยอมอ่อนข้อให้บางประเทศ หรือยกระดับสงครามการค้าต่อไป คำตอบคงขึ้นอยู่กับการเมืองและยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศ ซึ่งโลกต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.